มีสารประกอบหลายชนิดที่อาจแยกได้จากแปะก๊วย biloba Terpene Lactones คิดเป็น 6% และ Ginkgo-flavone glycosides คิดเป็น 24% Ginkgo-flavone glycosides ยับยั้งสารที่เรียกว่า Platelet Activating Factor (PAF) ซึ่งมีหน้าที่ในการรวมตัวของเกล็ดเลือดและการเกิดลิ่มเลือด PAF ยังเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการอักเสบและการแพ้หลายอย่าง สารเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าช่วยเพิ่มปริมาณเลือดแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังสมอง เพิ่มการใช้ออกซิเจนและกลูโคสในเนื้อเยื่อ

แปะก๊วย biloba ถูกนำมาใช้รักษาโรคต่างๆ การใช้งานหลักคือเป็นการบำบัดเสริมเพื่อปรับปรุงการไหลเวียนของหลอดเลือด แม้ว่าจะแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามือและเท้าที่เย็นสบาย โรคชิลเบลน การป้องกันและการฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดสมอง หน่วยความจำระยะสั้นที่ไม่ดี โรคเรย์เนาด์ โรคสมองเสื่อมในวัยชรา หูอื้อ/เวียนศีรษะ และปวดเต้านม (เจ็บหน้าอก)

แปะก๊วย biloba รับประทานได้ดีที่สุดในรูปแบบสารสกัดมาตรฐาน 100 มก. ที่ประกอบด้วยแปะก๊วยฟลาโวน-ไกลโคไซด์ 24 มก. และเทอร์พีนแลคโตน 6 มก. ซึ่งเป็นส่วนผสมออกฤทธิ์ แนะนำให้รับประทานวันละ 1 เม็ดเพื่อสุขภาพโดยทั่วไป โดยพบว่าวันละ 2 เม็ดมีประโยชน์ในการรักษา

แปะก๊วย biloba รับประทานได้ดีที่สุดในรูปแบบสารสกัดมาตรฐาน 100 มก. ที่ประกอบด้วยแปะก๊วยฟลาโวน-ไกลโคไซด์ 24 มก. และเทอร์พีนแลคโตน 6 มก. เช่นเดียวกับใน Bio-Biloba (Pharma Nord)

มีบทความทางวิทยาศาสตร์มากมายที่แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ของแปะก๊วย biloba โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านระบบไหลเวียนโลหิต งานวิจัยใหม่บันทึกการใช้มันในโรคความเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์

ยังไม่มีปฏิกิริยาระหว่างยาหรือข้อห้ามอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับประทานแปะก๊วย biloba ร่วมกับยาที่ส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตอยู่แล้ว เช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน โคลพิโดเกรล (Plavix®) ไดไพริดาโมล (Persantin®) เป็นต้น เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมังสวิรัติ